ประกันชีวิตนั้นเป็นเครื่องมือการเงินที่มีประสิทธิภาพมากๆ ในการรับประกันคุณภาพชีวิตของทายาท ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า และรายได้ก้อนโตระยะยาวอย่างทุนการศึกษาบุตร ค่าเลี้ยงดูบุพการี การปลดหนี้สินต่างๆก่อนส่งถึงมือทายาท และการสร้างมรดกที่ช่วยรักษาความมั่งคงให้วงศ์ตระกูล
หลักการคำนวณทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมนั้น นิยมคำนวนจาก
-การคำนวณรายได้ประมาณการในอนาคตตลอดชีวิตของบุคคล ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้ทายาทหรือครอบครัวจะสามารถรักษารายได้ทั้งชีวิตของผู้เอาประกันไว้ได้ หากจำเป็นต้องจากไปก่อน
-การคำนวณจากภาระความรับผิดชอบของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันนั้นวางแผนจะมองให้ สนับสนุน หรืออุปการะ สมาชิกในครอบครัว คนหนึ่งคนใดหรือหลายคน ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งใจไว้ เช่น
การคำนวณทุนการศึกษาบุตร เพื่อรับประกันความสำเร็จของบุตรหลาน เป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายในการศึกษาบุตรทุกคน ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงระดับที่ตั้งใจ โดยมีการคำนวณเผื่ออัตราเงินเฟ้อแล้ว ก็จะได้ทุนชีวิตที่รับรองเป้าหมายนี้
การคำนวณเงินเลี้ยงดู ภรรยา สามี บุพการี หรือญาติพี่น้อง ที่มีแนวโน้มพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ให้สามารถมีทุนในการใช้ชีวิต เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายไปในระยะเวลาที่ได้ตั้งใจไว้
-การวางแผนมรดก ซึ่งอาจเป็นความตั้งใจ ที่จะมอบมรดกให้กับทายาท ที่สามารถทำทุนประกันสูงกว่าเบี้ยประกันหลายสิบหรือร้อยเท่า เพื่อใช้เงินก้อนเล็ก ในการสร้างมรดกก้อนใหญ่ หรือใช้ปลดหนี้สินของผู้เอาประกันมิให้ตกเป็นของทายาท
กรณีมีทรัพย์สินมากเกิน 100,000,000บาท ก็ควรมีการทำประกัน เพื่อให้ทายาทได้รับเงินสด เพียงพอที่จะมาจ่ายภาษีมรดก
เพื่อสามารถรับมรดกก้อนโตไปได้อย่างไม่ติดปัญหา
อีกทั้งเงินสินไหมที่ได้รับจากประกันชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเสียภาษีมรดก และสามารถวางแผนแบ่งมรดกได้ยุติธรรมได้ง่าย เพราะอยู่ในรูปของเงินสดและได้รับอย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้ทายาทเสียสภาพคล่องอีกด้วย
การวางแผนทำประกันชีวิตที่เหมาะสมนั้นจะช่วยให้ท่านบริหารเบี้ยประกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ครอบคลุมภาระความรับผิดชอบทั้งหลายได้ครบถ้วนมากที่สุด หลีกเลี่ยงการทำประกันชีวิตมากจนเกินกำลัง น้อยจนไม่พอ หรือเลือกแบบประกันผิดทำให้ได้ประโยชน์ไม่ตรงไม่วัตถุประสงค์


